วันพุธที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

คำศัพท์เกี่ยวกับอาหารไทย

คำศัพท์อาหารไทย

 ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รูปภาพคําศัพท์เกี่ยวกับอาหารไทย

อุปกรณ์ประกอบอาหาร
1. กระชอน - colander/strainer
2. กระทะ - wok
3. เขียง - chopping Board
4. ครก - Mortar
5. ซึ้ง - steamer
6. ตะหลิว - spatula
7. ทัพพี - ladie
8. มีด - knife
9. สาก - pestle
10. หม้อ - pot


กรรมวิธีทำอาหาร
11. กวน / คน - stir
12. โขลก/ตำ - pound
13. คั้น - squeeze
14. คั่ว - roast
15. เชื่อม - cooking in boiling syrup
16. ซอย/ฝาน / แล่ - slice
17. ต้ม - boil
18. ตุ๋น - stewe / เคี่ยว - simmer
19. ทอด -fry
20. นึ่ง - steamed
21. บั้ง - score
22. บุบ (ทุบพอให้แตก) - crush
23. ผัด - stir-fry
24. ยัดไส้ - stuff
25. ย่าง - grill/broil
26. รวน - slightly cook
27. ลวก - blanch
28. สับ - mince
29. หั่น - cut
30. หมัก - marinate
31. อบ - bake


เครื่องปรุงรส
32. กะปิ - Shrimp paste
33. ข้าวคั่ว (บด) - ground roast rice
34. เต้าเจี้ยว - salted soya beans
35. เต้าหู้ยี้ - pickled bean curd
36. น้ำกะทิ/กะทิ - coconut milk
37. น้ำจิ้ม - sauce/dip
38. น้ำตาลทราย - granulated sugar/cane sugar
39. น้ำตาลปี๊บ - palm sugar
40. น้ำปลา - fish Sauce
41. น้ำพริกเผา - roasted chili paste
42. น้ำมะนาว - lime juice
43. น้ำมันหอย - oyster sauce
44. ปลาร้า - fermented fish
45. พริกแกง / น้ำพริกแกง - chili paste
46. พริกป่น - chili powder
47. มะขามเปียก - tamarind paste
48. หัวกะทิ - coconut cream
49. หางกะทิ - thin coconut milk

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รูปภาพ คำศัพท์เกี่ยวกับ เครื่องปรุง
พืชผัก - สมุนไพร
50. กระเทียม - garlic
51. ขมิ้น - turmeric
52. ข่า - galangal
53. ขิง - ginger
54. ต้นหอม - spring onion
55. ตะไคร้ - lemon grass
56. ใบกะเพรา - holy basil leaves
57. ใบมะกรูด - kaffir lime leaves
58. ผักชี - coriander
59. พริกขี้หนู - bird chili
60. พริกไทยอ่อน - green peppercorns
61. รากผักชี - coriander roots
62. หอมแดง - shallots
63. โหระพา - sweet basil


เส้นก๋วยเตี๋ยว
64. ขนมจีน - fermented rice noodles
65. บะหมี่ - fine Egg noodles
66. วุ้นเส้น - glass noodle
67. เส้นเล็ก - narrow rice noodle
68. เส้นหมี่ - round noodles/rice vermicelli
69. เส้นใหญ่ - wide rice noodle


ประเภทอาหาร
70. แกงจืด - clear soup
71. แกงเผ็ด - red curry
72. แพนง/แกงแพนง - dry chicken/pork and peanut curry
73. แกงเขียวหวาน - green curry
74. แกงเหลือง - South-style yellow spicy curry.
75. ข้าวซอย - North-style curried noodle soup
76. จิ้มจุ่ม - Thai hot pot/ steamboat
77. ต้มยำ - hot and sour soup
78. ต้มโคล้ง - sour and spicy smoked-fish soup
79. ต้มแซ่บ - Northeast-style spicy soup
80. น้ำพริกกะปิ - spicy shrimp paste dip/sauce
81. ผัดผัก - stir fried vegetable
82. ยำ - spicy salad
83. ส้มตำ - spicy papaya salad
84. ห่อหมก - steamed curried-fish in a banana-leaf cup
85. แหนม - sour sausage/pickled pork
86. เฉาก๊วย - grass jelly
87. ทับทิมกรอบ - mock pomegranate seeds/coated water chestnut dices in sweet coconut milk.
88. สังขยา - Thai custard/coconut custard

ขอบคุณที่มา http://amazingthaifood.tourismthailand.org/tha/treasures/glossary.html

วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เรียนรู้ความแตกต่างระหว่าง pain / ill / ache / sick / hurt

ความแตกต่าง between the words       PAIN/ILL/ACHE/SICK/HURTผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การเจ็บป่วยภาษาอังกฤษ

วันนี้มาดูความแตกต่างของคำศัพท์ต่อไปนี้ pain / ill / ache / sick / hurt
ที่แปลเป็นไทยว่า เจ็บ, ป่วย หรือ ไม่สบาย ใช้ต่างกันอย่างไร 

 ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การเจ็บป่วยภาษาอังกฤษ
PAIN and ACHE

คำทั้งสองนี้ปกติมักถูกใช้เป็น noun ซึ่งแปลว่าความรู้สึกไม่สบายที่เกิดขึ้นกับร่างกายของคุณ แต่สองคำนี้มีการใช้แตกต่างกันเล็กน้อย คือ pain ใช้กับความเจ็บปวดที่รุนแรงกว่า ประเภทยากที่จะทนได้ ache นั้นใช้บอกถึงความเจ็บปวดที่ไม่รุนแรงนัก
ขอใช้ตัวอย่างเปรียบเทียบให้เห็นชัดเจน 
ถ้าคุณไป พบแพทย์ที่ห้องฉุกเฉินแล้วคุณพูดว่า 
             Doctor, I have a severe back pain. 
คนไข้อีกคนหนึ่งพูดว่า 
             Doctor, I’ve got a severe backache. 
แพทย์ที่ห้องฉุกเฉินจะเข้ามาตรวจคุณก่อน เพราะคำว่า back pain ฟังดูอาการน่าเป็นห่วงกว่า backache

 ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ อุบัติเหตุการ์ตูนตกต้นไม้
HURT
คำนี้แตกต่างจากคำอื่นเล็กน้อย โดยมากมักใช้เป็น verb หรือ adjective คำนี้แตกต่างจาก pain และ ache 
เพราะถ้าคุณใช้ hurt ความเจ็บป่วยที่มีสาเหตุมาจากสิ่งนอกตัวเรา 
เช่น Be careful, you might hurt yourself if you fall from the tree. 
(hurt ในประโยคนี้ เป็น verb) แปลว่า ระวังนะ คุณอาจจะเจ็บตัวได้ถ้าตกจากต้นไม้
อีกตัวอย่างหนึ่ง He was badly hurt in the car crash. (hurt ในประโยคนี้ เป็น adjective)
แปลว่า เขาได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงในอุบัติเหตุรถชน

 ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การเจ็บป่วยภาษาอังกฤษ
SICK and ILL
ทั้งสองคำนี้ ปกติถูกใช้เป็น adjective เช่น George didn’t come in last week because he was ill/sick.
ใน ภาษาอังกฤษแบบอเมริกันคำสองคำนี้มีความหมายแทบไม่แตกต่าง ก็คือหมายถึงป่วย 
ภาษาอังกฤษที่ใช้ในเกาะอังกฤษ sick มีความหมายค่อนข้างเฉพาะ หมายถึงอาการหรือความรู้สึกที่กาลังจะอาเจียน (vomit) ส่วน ill จะใช้ในอาการป่วยทั่วๆไป
เช่น I think I’m going to be sick. มีความหมายเหมือนกับ I think I’m going to

ที่มา http://www.pasa24.com/view/page.aspx?p=Difference-between-pain-ill-ache-sick-heart%28English%29

วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Abbreviations คำย่อภาษาอังกฤษที่น่ารู้จัก



 ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ คําย่อภาษาอังกฤษ
Abbreviations in note-taking
        “abbreviation” อ่าน ว่า แอ้บ บริ วิ เอ ชั่น หมายถึง “การเขียนคำย่อ” ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญและมีประโยชน์เป็นอย่างยิ่งในการฝากข้อความ การจดโน้ตการพูดคุย หรือการติดต่อสื่อสารกันทางโทรศัพท์ เพื่อความเข้าใจหรือแม้แต่สามารถนำไปใช้ในการแชท สนทนาพูดคุยกันออนไลน์ได้
  1. asap (ASAP)   =  as soon as possible       เร็วเท่าที่จะเร็วได้
  2. intl                  =  international               นานาชาติ
  3. ATTN              =  for the attention of       แนบถึง
  4. P/O                 =  Purchase Order            รายการจัดซื้อ
  5. B&B                =  bed and breakfast        
     (For hotel)
  1. DEP                =  departure                      ออกจาก
  2. Dept               =  department                    แผนก
  3. esp                  =  especially                      โดยเฉพาะ
  4. max                 =  maximum                      ค่าสูงสุด
  5. min                  =  minimum                       ค่าต่ำสุด
  6. hr(s)                 =  hour(s)                         ชั่วโมง
  7. min(s)              =  minute(s)                       นาที
  8. ext                    =  extension                      ต่อ
  9. 1st                     =  first                              อันดับที่หนึ่ง ลำดับที่หนึ่ง
  10. 2nd                    =  second                          อันดับที่สอง  ลำดับที่สอง
  11. 3rd                    =  third                              อันดับที่สาม ลำดับที่สาม
  12. incl                   =  include                           รวม
  13. Re:                   =  reference                       การอ้างอิง
  14. ARR                 =  arrival                             มาถึง
  15. no.                   =  number                          หมายเลข  เลขที่
  16. etc.                  =  and so on                       และอื่นๆ
  17. info                 =  information                           ข้อมูล
  18. St                     =  street                             ถนน ตรอก ซอย
  19. Ave                  =  avenue                            ถนน
  20. Rd.                   =  road                               ถนน (ใหญ่)
  21. Jan                   =  January                          เดือนมกราคม
  22. Feb                  =  February                         เดือนกุมภาพันธ์               
  23. Mar                 =  March                              เดือนมีนาคม
  24. Apr                  =  April                                เดือนเมษายน
  25. May                 =  May                                เดือนพฤษภาคม
  26. Jun                   =  June                              เดือนมิถุนายน
  27. Jul                    =  July                               เดือนกรกฎาคม
  28. Aug                  =  August                           เดือนสิงหาคม
  29. Sept                 =  September                     เดือนกันยายน
  30. Oct                   =  October                         เดือนตุลาคม
  31. Nov                  =  November                      เดือนพฤศจิกายน
  32. Dec                  =  December                       เดือนธันวาคม
 
ขอบคุณที่มา http://www.pasa24.com/view/page.aspx?p=English-abbreviations-in-note-taking

วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เรียนศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับห้องน้ำ



คำศัพท์ภาษาอังกฤษสำหรับการเรียกห้องน้ำ ห้องส้วมหลายคำ ซึ่งเราเองควรจะทราบและรู้ โดยเฉพาะเวลาเราไปต่างที่ต่างถิ่น เราจะเห็นสัญลักษณ์ หรือคำศัพท์คำนั้นๆ เราจะได้เข้าใจและทราบว่าคืออะไร และจะได้ไปถูกที่



ห้องน้ำ
ที่นิยมใช้กัน ได้แก่ toilet, restroom, bathroom และ washroom ซึ่งความหมายและคำอธิบายคำศัพท์แต่ละคำมีรายละเอียดดังนี้
  • Toilet           แปลว่า ห้องส้วม ที่มีชักโครกในห้อง ซึ่งเป็นคำที่ชาวอังกฤษเรียกกัน
  • Restroom   หากแปลตามตัว จะแปลว่า ห้องพักผ่อน หรือเป็นห้องที่ทำให้เรารู้สึกโล่งสบาย นั่นก็คือห้องส้วมนั่นเอง ซึ่งคำๆนี้เป็นคำที่ชาวอเมริกันใช้เรียกกัน
  • Bathroom  แปลว่า ห้องอาบน้ำ (ชาวอเมริกันใช้)
  • Washroom แปลว่า ห้องล้าง คำๆนี้ก็เป็นคำที่ชาวอเมริกันมักใช้เช่นเดียวกัน
จาก คำสี่คำดังกล่าว เป็นคำที่นิยมใช้พูดและกล่าวถึง ไม่ได้หมายความว่าคำศัพท์เกี่ยวกับห้องน้ำมีแค่นี้ อย่างที่บอก จริงๆแล้วคำศัพท์ที่สามารถใช้เรียกใช้พูดนั้นมีเยอะ มากมาย ซึ่งเราควรเรียนรู้และสะสมคำศัพท์ไว้เป็นคลังคำศัพท์กันต่อไป





              นอกจากนี้ คำว่า  W.C. หมายถึงอะไร ซึ่งได้คำตอบคือ water closet แปลตามตัวแลว่า ตู้น้ำ แต่ความหมายที่กล่าวถึงนั่นคือ ห้องน้ำหรือห้องส้วมนั่นเอง

เรื่องของการขออนุญาตไปห้องน้ำ หรือขออนุญาตทำธุระสิ่งต่างๆในห้องน้ำเราสามารถขออนุญาตโดยใช้คำขออนุญาตต่างๆดังนี้

การขออนุญาตเราจะใช้คำขออนุญาตโดยใช้ May I …….?
            เช่น  May I go to the toilet, please?
                  May I go to the restroom, please?
                  May I go to the bathroom, please?
                  May I go to the washroom, please?
นอกจากนั้น ยังสามารถใช้คำว่า use แปลว่า ใช้ ในการขออนุญาตใช้ห้องน้ำได้เช่นกันนะคะ
  1. May I use the toilet?
  2. May I use the restroom?
  3. May I use the bathroom?
  4. May I use the washroom?
  5. May I use the water closet?
ถัดมาภาษาที่มักใช้กันอย่างไม่เป็นทางการ แต่คนมักใช้พูดในการสื่อความหมายการทำธุระ หรือกิจกรรมต่างๆในห้องน้ำได้แก่
  1. number one
หมายถึง การทำธุระเบา หรือการปวดปัสสาวะ
  1. number two
  2. การทำธุระหนัก หรือการปวดอุจจาระ
John: Is there any toilet around here? I have number two.
ส่วน คำศัพท์ที่แปลว่า ฉี่ จริงๆแล้วมีสามคำ ได้แก่ urinate ยู รี เนท ซึ่งใช้เป็นทางการทางการแพทย์ คำที่สองคือ pee ใช้สำหรับพูดคุยกับเด็ก และ piss
    ตัวอย่างประโยคในการพูด
ไม่เป็นทางการ
“I’m going number 1.”   ถ่ายหนัก
“I’m going number 2.”   ถ่ายเบา
“I need to pee.”             ฉันปวดฉี่   (ใช้พูดกับเพือน คนในครอบครัว หรือคนที่สนิทกัน)
“I’m gonna poo(p).”      ฉันจะไปอึ (ใช้พูดกับเพือน คนในครอบครัว หรือคนที่สนิทกัน)

ขอบคุณที่มาครับ http://www.pasa24.com/view/page.aspx?p=English-speaking-phrases-about-toilet-and-bathroom

เรียนศัพท์จากเพลง It's gonna be me


เรียนภาษาอังกฤษจากเพลง

คำศัพท์จากบทเพลง It’s gonna be me.  มันกำลังจะเป็นฉัน โดย N Synk กลุ่มนักร้องบอยแบนด์ชาวอเมริกันจากฟลอริด้า
gonna อ่านว่า ก็อนนะ  มาจากคำว่า going to แปล่ว่า กำลังจะ ปกติจะใช้ควบคู่กับ is am are
Every little thing I do never seems enough for you.
ทุกอย่างที่ฉันทำ ดูเหมือนจะไม่พอสำหรับเธอ
You don’t wanna lose it again.
เธอไม่ต้องการสูญเสียมันอีกครั้ง
But I’m not like them.
แต่ฉันไม่เหมือนใครนะ
Baby, when you finally, Get to love somebody
ที่รัก เมื่อท้ายที่สุดแล้ว เธอไปหลงรักใครสักคน
Guess what,
เดาดูซิ  (ว่าเขาคนนั้นคือใคร)
It’s gonna be me..
มันกำลังจะเป็นฉัน (ก็ฉันไง)
ส่วนจากเพลงอื่นๆ เช่น
What I’m gonna do.
สิงที่ฉันกำลังจะทำ
Babe, I’m gonna leave you.
ที่รัก ฉันกำลังจะจากคุณไป
Girl, I’m gonna miss you.
สาวน้อย ฉันกำลังจะคิดถึงคุณ

ที่มา http://ภาษาอังกฤษออนไลน์.com/ganna-%E2%80%93-%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B0-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%97%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B9%86%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%87/

การพัฒนาแนวใหม่ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ

http://www.slideshare.net/SomboonSrihawong/ss-47665172

วันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2558

บอกเวลาเป็นภาษาอังกฤษ

สวัสดีครับเพื่อนๆ ผมจะเสนอบทความที่เกี่ยวกับภาษาอังกฤษ ในเรื่องการบอกเวลาเป็นภาษาอังกฤษ  ซึ่งการบอกเวลาในภาษาอังกฤษนั้นสามารถบอกได้หลายรูปแบบ ถ้าเปรียบเทียบในภาษาไทยเราก็จะมีคำมากมายหลากหลายเช่นกัน  การบอกเวลาภาษาอังกฤษนั้นจะสามารถบอกได้กี่วิธี พวกเรามาศึกษากันเถอะ

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รูปนาฬิกา
  • วิธีที่ 1.การบอกเวลาเมื่อเวลานั้นเต็มๆ ชั่วโมง เรานั้นจะใช้คำว่า “O’clock” ตามหลังเวลาที่เราต้องการจะบอกเสนอครับ เช่น
          It’s six O’clock (อิสซ ซิคซ โอ คล็อก) เวลาหกโมงเช้า หรือ เวลาหกโมงเย็น
  • วิธีที่ 2.การบอกเวลาที่มีเศษของนาทีในกรณีที่ไม่เกิน 30 นาที เราจะใช้คำว่า “past” ซึ่ง past นี้จะหมายถึงผ่านมากี่นาทีแล้ว โดยเราจะใช้คำนี้นำหน้าชั่วโมงในขณะนั้น โดยมีโครงสร้างการเขียนดังนี้ครับ
          เศษนาทีไม่ถึง 30 นาที + past + ชั่วโมงขณะนั้น
          ตัวอย่างการบอกเวลาโดยการใช้ Past เช่น
           It’s twenty-five past nine. (อิทส ทเว็นตี้ ไฟว์ พาสท์ ไนน์) ผ่าน 9 นาฬิกามา 25 นาทีแล้ว ( เวลา 9:25 นาฬิกา)
          It’s nineteen past eight. (อิทส ไนน์ทีน พาสท์ เอธ) ผ่าน 8 นาฬิกามา 19 ยาทีแล้ว (เวลา 8:19 นาฬิกา)
  • วิธีที่ 3.การบอกเวลาที่มีเศษของนาทีเกิน 30 นาที เราจะใช้คำว่า “to” ซึ่ง to จะมีความหมายประมาณว่า ถึง โดยเราจะใช้คำนี้นำหน้าเวลาที่ใกล้จถึง ซึ่งมีหลักการของโครงสร้างประโยคดังนี้
          เศษนาที่ที่เกิน 30 นาที + to + ชั่วโมงที่จะถึง
ตัวอย่างการบอกเวลาที่ใกล้จะถึงเช่น
It’s twenty to eleven. (อิทส ทเว็นตี้ ทู อีเลฟเว่น) อีก 20 นาทีจะถึงเวลา 11 นาฬิกา (เวลา 10:40 นาฬิกา)
It’s five to twelve. (อิทส ไฟว์ ทู เทวลฟ์) อีก 5 นาที จะ 12 นาฬิกา (เวลา 11:55 นาฬิกา)
  • วิธีที่ 4.การบอกเวลาที่มีเศษของนาทีเท่ากับ 15 นาที มีโครงสร้างของประโยคดังนี้ครับ
          A quarter past + ชั่วโมงในขณะนั้น
คำว่า quarter จะหมายถึง 1 ใน 4 ของนาทีทั้งหมดนะครับ ซึ่งหนึ่งในสี่ของ 1 ชั่วโมงก็คือ 15 นาทีนั่นเองครับ
ตัวอย่างของการบอกเวลา เช่น
It’s a quarter past three. (อิทส อะ ควอเตอร์ พาส ธรี) ผ่าน 3 นาฬิกามา15 นาทีแล้ว (เวลา 3:15 นาฬิกา)
แต่ถ้าหากเวลาในชั่วโมงนั้นๆ อยู่ที่ 45 นาที จะใช้ to แทน past นะครับ ความหมายก็ประมาณว่าอีก 15 นาทีถึง…
โครงสร้างของประโยคแบบนี้ก็จะเป็นดังนี้ครับ a quarter to + ชั่วโมงที่จะถึง
ตัวอย่างการบอกเวลารูปแบบนี้เช่น
It’s a quarter to six. (อิทส อะ ควอเตอร์ ทู ซอคซ) อีก 15 นาทีจะถึง 6 นาฬิกา (เวลา 5:45 นาฬิกา)
  • วิธีที่ 5.การบอกเวลาที่เศษนาทีเท่ากับ 30 นาทีเราจะใช้คำว่า “half past” ซึ่ง half past มีความหมายประมาณว่า ผ่านมาครึงชั่วโมง โดยมีโครงสร้างของการบอกเวลา ดังนี้
          Half past + ชั่วโมงในขณะนั้น
ตัวอย่างการบอกเวลาเช่น
It’s half past seven. (อิทส ฮาส์ฟ พาสท เซเว่น) ผ่าน 7 นาฬิกามา 30 นาที (เวลา 7:30 นาฬิกา)
  • วิธีที่ 6.การบอกเวลาตามตัวเลขบนหน้าปัดของนาฬิกา ซึ่งการบอกเวลาแบบนี้จะบอกเวลาได้ดังนี้
It’s tow fifteen. (อิทส ทู ฟิฟทีน) เวลา 2:15 นาฬิกา
It’s three twenty-five. (อิทส ธรี ทเว็นตี้ ไฟว์) เวลา 3:25 นาฬิกา
ในการบอกเวลานั้นเราอาจจะมีการใช้ a.m. และ p.m. ในการบอกเวลาได้ด้วยนะครับ โดยมีหลักการใช้ดังนี้ครับ
A.m. ย่อมาจากคำว่า ante meridiem
ใช้ในการบอกเวลาตั้งแต่ชั่วเวลาเที่ยวคืนจนถึงเที่ยงวัน
P.m. ย่อมาจาก post meridiem
ใช้ในการบอกเวลาตั้งแต่เที่ยงวันถึงเที่ยงคืน
ตัวอย่างที่เราจะบอกเวลาโดยใช้ a.m. หรือ p.m. ก็เช่น
9 โมงเช้า ใช้ว่า 9:00 a.m.
3 ทุ่ม ใช้ว่า 9:00 p.m.

สรุปแล้วการบอกเวลาเป็นภาษาอังกฤษที่นิยมกัน มี 6 วิธีนะครับ